“เบาหวาน” ที่ควบคุมไม่ได้... รับมืออย่างไรให้ได้ผล
ปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย แต่ถ้าผู้ป่วยได้รับการตรวจคัดกรอง และรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ก็จะช่วยให้สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้
นพ. เกษตร ฉิมพลี อายุรแพทย์โรคต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิสม โรงพยาบาลกรุงเทพหัวหิน กล่าวว่า โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายขาดอินซูลิน หรือใช้อินซูลินได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบเผาผลาญในร่างกาย โดยเฉพาะการเผาผลาญสารอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งพบว่าประชากรที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ประมาณร้อยละ 12 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน และยังมีอีกจำนวนมากที่ยังไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้
สาเหตุ ของโรคเบาหวาน มีทั้งเกิดจากพันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติครอบครัว โดยเฉพาะมีบิดา มารดาเป็นเบาหวาน พฤติกรรมการบริโภค ภาวะอ้วน มีระดับไขมันในเลือดสูง ขาดการออกกำลังกาย ความเครียด หรือการใช้ยาบางชนิด
อาการ ของโรคเบาหวาน มักเริ่มจากกระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย เช่น การตื่นนอนกลางดึกบ่อยๆ เพื่อไปปัสสาวะ เหนื่อยง่าย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ แผลหายช้า ตาพร่ามัว คันตามผิวหนัง
การตรวจวินิจฉัย ทำได้โดยการเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting Blood Sugar) หรือการตรวจระดับน้ำตาลสะสม (ฮีโมโกลบินเอวันซี : HbA1c) ซึ่งสะท้อนระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
การรักษาโรคเบาหวาน การรักษาประกอบด้วย 4 วิธีหลัก ได้แก่
ทำอย่างไร? ถ้าเป็นเบาหวานแล้วควบคุมไม่ได้ ผู้ป่วยบางรายแม้จะกินยาหรือฉีดอินซูลินแล้ว แต่ระดับน้ำตาลในเลือดยังสูงอยู่ อาจเกิดจากตัวโรคเบาหวานเองที่เป็นมานานแล้วทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายเกิดการเสื่อม หรือเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่ดี ขาดการออกกำลังกาย อยู่ในสิ่งแวดล้อมหรือวิถีชีวิตที่ไม่เหมาะสม หรือการหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ ทำให้ควบคุมโรคเบาหวานไม่ได้และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในหลายระบบ เช่น โรคหัวใจ โรคทางสมอง อัมพฤกษ์อัมพาต ไตวาย เบาหวานขึ้นตา หรือแผลเรื้อรังที่เท้า
คำแนะนำสำหรับ คนที่เป็นโรคเบาหวาน



- ผู้ป่วยมีความเข้าใจโรคอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรับมือกับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรให้ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และวิธีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แม้โรคเบาหวานยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ผู้ป่วยสามารถควบคุมให้ระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้
- การปรับพฤติกรรม ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ควบคุมน้ำหนักตัว และควบคุมอาหาร โดยการลดการบริโภคน้ำตาล ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต เน้นการรับประทานผักและโปรตีน รวมทั้งการออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- การใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ โดยอาจเป็นยาในรูปแบบเม็ดหรือยาฉีด ขึ้นอยู่กับประเภทของโรคและการตอบสนองของร่างกายผู้ป่วย
- การใช้อินซูลิน สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ด้วยยาเพียงอย่างเดียว หรือมีระดับน้ำตาลสูงเกินไป จำเป็นต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- ควรมาพบแพทย์เพื่อติดตามอาการและปรับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการตรวจหาโรคแทรกซ้อนของเบาหวาน เช่น เบาหวานขึ้นตา เบาหวานลงไต ภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบ
- ควรควบคุมการรับประทานอาหารตามที่แพทย์แนะนำ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ไม่ควรหยุดยา หรือปรับลดยาด้วยตัวเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
- หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน มีน้ำหนักเกิน หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง ควรตรวจสุขภาพประจำปี หรือตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อตรวจหาเบาหวานระยะเริ่มต้น เพื่อเป็นการคัดกรองและป้องกันการเกิดโรคแต่เนิ่น ๆ