“ปวดหัวเรื้อรัง” โรคใกล้ตัวในยุคโซเชียล
ในยุคที่ปัจจุบันชีวิตเราเกือบทั้งวัน ผูกติดอยู่กับหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ หลายคนอาจเริ่มรู้สึก “ปวดหัว” บ่อยขึ้น อาการเหล่านี้อาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่หากเกิดซ้ำบ่อย ๆ จนอาการปวดหัวกลายเป็นเรื่องประจำวัน นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “อาการปวดหัวเรื้อรัง” ซึ่งสัมพันธ์กับกลุ่มอาการ “ออฟฟิศซินโดรม” นพ. ยุทธนา ศรีวิจิตร แพทย์เฉพาะทางระบบประสาทและสมอง โรงพยาบาลกรุงเทพหัวหิน กล่าวว่า อาการปวดหัวเรื้อรัง หรือที่เรียกว่า อาการปวดหัวจากกล้ามเนื้อตึงตัว (Tension – Type Headache) เป็นอาการปวดหัวที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งเกิดจากการตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ โดยเฉพาะแถวหัวคิ้ว ขมับ ท้ายทอย และลำคอ อาการปวดหัวที่เกิดขึ้นมักเป็นแบบแน่นหรือรัดรอบศีรษะ สาเหตุและพฤติกรรมเสี่ยง หรือปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวเรื้อรังมีหลายประการ โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงาน เช่น
  • ท่าทางที่ไม่เหมาะสม: การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ หรือก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือตลอดวัน จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ เกร็งสะสม จนลามไปถึงศีรษะ
  • ความเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ: ทำให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อเกิดความตึงตัวง่ายขึ้น
  • ขาดการออกกำลังกาย: กล้ามเนื้อที่อ่อนแอจะทำให้ร่างกายรับน้ำหนักจากท่าทางผิด ๆ จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อย และปวดหัวตามมา
อาการที่ควรสังเกต มักมีอาการปวดศีรษะบริเวณท้ายทอย ขมับ หน้าผาก หรือกลางศีรษะ ปวดตื้อๆ หนักๆ มักเป็นตอนบ่ายหรือเย็น มีอาการตึงบริเวณคอ บ่า ไหล่ ร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการมึนและเวียนศีรษะ คลื่นไส้ หรือรู้สึกไม่สดชื่นตลอดวัน ตรวจวินิจฉัยให้ชัด แม้อาการปวดหัวจากกล้ามเนื้อมักไม่รุนแรง แต่หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3 เดือน หรือมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดหัวรุนแรงเฉียบพลัน มีไข้ อาเจียน หรือหมดสติ แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วย เครื่อง CT Scan (เอกซเรย์คอมพิวเตอร์) เพื่อแยกโรคทางสมองหรือภาวะผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจแฝงอยู่ ซึ่งอาจเป็นอันตราย เช่น เนื้องอกในสมอง เลือดออกในสมอง การติดเชื้อในสมองหรือเยื่อหุ้มสมอง หรือไซนัสอักเสบ ทางเลือกในการรักษา หากตรวจพบว่าอาการเกิดจากกล้ามเนื้อและท่าทางที่ไม่เหมาะสม แพทย์อาจแนะนำการรักษา ดังนี้
  • รักษาด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัด อาทิ การทำอัลตราซาวด์ (Ultrasound) หรือเลเซอร์ (Laser) ซึ่งจะช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดการอักเสบ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
  • การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ ในรายที่มีจุดกดเจ็บหรือ “Trigger Point” ชัดเจน การฉีดยาชาเฉพาะที่สามารถช่วยลดอาการปวดและคลายกล้ามเนื้อได้ดี
ทั้งนี้หากอาการปวดหัวเรื้อรัง ไม่ได้เกิดจากกล้ามเนื้อ แต่เกิดจากสาเหตุอื่น เช่น ระบบประสาท ความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง แพทย์จะพิจารณาจากผลการตรวจร่างกายและการตรวจด้วยเครื่อง CT Scan หรือ MRI เพื่อทำการวินิจฉัยให้ชัดเจน แต่ในบางรายอาจเกิดจากความเครียดเรื้อรัง ภาวะซึมเศร้า หรืออาจเกิดจากภาวะความดันในโพรงไซนัส ปัญหาทางสายตา จะต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์เฉพาะทางตามสาเหตุต่อไป ป้องกันก่อนปวดหัว ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
  • ปรับท่านั่งให้ถูกต้อง: วางจอคอมพิวเตอร์ให้ระดับสายตา หลังตรง เท้าวางราบบนพื้น
  • พักสายตาและเปลี่ยนอิริยาบถทุก 30 นาที: ลุกยืดเส้นยืดสาย หรือหมุนคอเบา ๆ
  • ลดการเล่นมือถือเป็นเวลานาน: โดยเฉพาะท่าก้มคอ เพราะเป็นสาเหตุสำคัญของกล้ามเนื้อตึง
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ: เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ และลดความเครียด
  • นอนหลับให้เพียงพอ: อย่างน้อยวันละ 6 – 8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายและสมองฟื้นฟูเต็มที่ กล้ามเนื้อคลายตัวได้ดี ไม่เกร็งสะสมจนทำให้ปวดเรื้อรัง
“อาการปวดหัวเรื้อรังไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการทำงาน การรู้จักสังเกตอาการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตลอดจนปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและรักษาอย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และมีสุขภาพโดยรวมที่ดีครับ” นพ.ยุทธนา กล่าวทิ้งท้าย ************************************************************************** สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือทำนัดหมายพบแพทย์ กรุณาติดต่อ :  โทร. 032-616-880  (7.00 – 19.00 น.) แผนกบริการผู้ป่วยนอก/อายุรกรรม ชั้น 1 โทร. 032-616-800 Call Center โรงพยาบาลกรุงเทพหัวหิน